ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

กาลามสูตร

๒๔ ต.ค. ๒๕๕๘

กาลามสูตร

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๕๘

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ถาม : เรื่อง “ลืมพุทโธ

กราบนมัสการหลวงพ่อ กระผมขอบพระคุณในความกรุณาของหลวงพ่อที่เมตตาตอบคำถามเรื่อง “การเฝ้าดูจิต” ผมแย่จริงๆ ครับที่หาความรู้แต่ภายนอกจับเอาแค่ใจความที่ใกล้เคียงกับความคิดของตัวเองแล้วเอามาปฏิบัติแบบมั่วๆการยกตัวอย่างเรื่องคนในสงครามกับคนที่ฟังเรื่องเล่าเกี่ยวกับสงครามของพระอาจารย์ ทำให้ผมสะดุ้งสะเทือนไปถึงหัวใจเลยครับ พอได้ฟังคำเตือนเรื่อง “หมาเฝ้าบ้าน” แล้วรู้เลยว่าผมลืมพุทโธซึ่งเป็นฐานของการภาวนาไปจริงๆ

หลังเลิกงานเลยเริ่มต้นภาวนาใหม่ เอาพุทโธให้ชัดๆ แบบที่พระอาจารย์ว่าภาวนาไปเรื่อยๆ จนเกิดความสงบพอสมควร เกิดความสงสัยขึ้นมาว่าถูกหรือผิดแต่ก็ฉุกคิดขึ้นได้ว่าพุทโธล่ะอยู่ไหน จึงพุทโธอีกครั้ง เอาชัดกว่าเดิม ไม่นานนักเกิดความสงบขึ้นอีก คราวนี้สงบกว่าเดิม แต่นึกพุทโธเท่าไรก็นึกไม่ออก คิดอะไรก็คิดไม่ได้ เห็นแต่ลมหายใจเข้าออก รู้โดยไม่ได้ใช้ความคิดเลยครับว่าลมหายใจนี้ไม่ใช่ของเรา มองมันอยู่อย่างนั้นสักพักมันก็คลายออก รู้เลยครับว่าคลายออก

เมื่อเริ่มพุทโธใหม่ เอาแบบชัดๆ เหมือนเดิม ภาวนาเท่าไรก็ไม่เหมือนเดิมใจเริ่มไม่สงบ พิจารณาดูก็รู้ว่าที่ไม่สงบเพราะเรายึดเอาสัญญามาเป็นตัวตั้ง เลยวางสัญญาแล้วพุทโธอีกครั้ง คราวนี้สงบลง แต่กลับมีก้อนอะไรไม่รู้ใหญ่มากทับลงมาทั้งตัว ทั้งตกใจ ทั้งสงสัย แต่นึกอะไรไม่ออก ก็เลยได้แต่มองดู แล้วพุทโธต่อให้ชัดๆ ก้อนหนักๆ นั้นก็หายไป อาการที่เกิดขึ้นกับผมนี้มันคืออะไรครับ พระอาจารย์ช่วยเมตตาชี้แนะด้วยครับ

ผมไม่สนใจว่าจะบรรลุธรรมขั้นใด ขอแค่ใช้ชีวิตประจำวันไม่ทุกข์ไม่ร้อนกับสิ่งที่เกิดขึ้นรอบๆ ตัวผมก็พอแล้วครับ ถึงแม้ว่าการภาวนาจะต้องละทิ้งความสะดวกสบาย แต่ผมว่ามันคุ้มค่ากับการลงทุน เพราะการลงทุนด้วยการภาวนานั้นแม้จะตายในชาตินี้แล้วก็ตาม แต่จิตยังคงจดจำการภาวนา เอาต้นทุนในการภาวนาไปเป็นทุนในการเกิดดับในภพภูมิต่อไปได้ ไม่เหมือนสมบัติภายนอกใจที่ตายแล้วเอาไปใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้เลย ทิ้งไว้เป็นภาระสร้างข้อบาดหมางให้กับลูกหลานอีก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่หาทรัพย์ภายนอกเลย เพราะในขณะที่มีชีวิตอยู่นี้ยังมีครอบครัวที่ต้องดูแลเอาใจใส่อยู่ แต่ก็ไม่มากหรือไม่น้อยเกินไป ให้พอดีอยู่กลางๆ จะละทิ้งให้เขาลำบากเพื่อความสุขของตนเองเพียงคนเดียวก็เป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้องเช่นกัน ความรู้สึกผมเป็นอย่างนี้ครับ พระอาจารย์ช่วยชี้แนะด้วย

ตอบ : นี่คำถามเนาะ คำถามครั้งที่แล้วเขาถาม เขาภาวนามาตลอด แต่สุดท้ายแล้วเขาไปดูในยูทูบเรื่องหลวงปู่ดูลย์สอนเรื่องดูจิต แล้วเขาก็เขียนปัญหาถามมาว่า ถ้าการดูจิตแบบนั้นมันสะดวกมันสบาย เขาภาวนาอย่างนั้นถูกต้องหรือไม่

เราเทศน์สอนเขาไปครั้งที่แล้วว่า “หมาเฝ้าบ้าน” หมาเฝ้าบ้านคือหมามันอยู่เฝ้าบ้าน มันอยู่นอกบ้าน แต่เราอยู่ในบ้านไง เราจะบอกว่า ความรู้สึกนึกคิดความรู้สึกนึกคิดเกิดจากจิต แต่ไม่ใช่จิต แล้วเขาไปดูกันที่ความรู้สึกนึกคิดนั้น ถ้าความรู้สึกนึกคิดนั้นเป็นประโยชน์ เหมือนหมาเฝ้าบ้าน แต่ถ้าเขาไปดูความรู้สึกนึกคิดนั้น หมาที่มันเกเร หมาไม่เฝ้าบ้าน หมามันก็ไปเที่ยวเล่นของมัน เรียกว่าหมาเฝ้าบ้าน ถ้าหมาเฝ้าบ้านที่ดี มันก็เฝ้าบ้านที่ดี หมาเฝ้าบ้านที่ไม่ดี มันก็เกเรมันไม่ทำประโยชน์ นี่พูดถึงหมาเฝ้าบ้าน หมาเฝ้าบ้านจะเป็นประโยชน์ใช่ไหม นี่พูดตอบเรื่องหมาเฝ้าบ้านไป

ฉะนั้น เขาเขียนตอบกลับมา เห็นไหม “ผมแย่จริงๆ ใช้แต่ความรู้ภายนอกไปจับเอาความคิดใกล้เคียงกับความคิดของตัวมาเทียบเคียง

อันนี้เวลาเราเตือนไป เราเตือนไปแบบว่ากาลามสูตร ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเรื่องกาลามสูตร ไม่ให้เชื่อสิ่งใดทั้งสิ้น ไม่ให้เชื่อแม้แต่อาจารย์ของเรา ไม่ให้เชื่อแม้แต่อนุมานเอา ไม่ให้เชื่อแม้แต่ความคิด

เขาบอกว่า เขาไปจับเอาความคิดภายนอก คิดเอามาเทียบเคียงแล้วมันได้ประโยชน์ขึ้นมา

กาลามสูตร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ให้เชื่อ พยายามไม่ให้เชื่อเวลาไม่ให้เชื่อแม้แต่อาจารย์ของตน ไม่ให้เชื่อแม้แต่ความอนุมานเอาได้ ไม่ให้เชื่อแม้แต่เราชอบใจ ไม่ให้เชื่อว่าเราคิดได้เหมือนกัน ไม่ให้เชื่อ ไม่ให้เชื่อทั้งสิ้นห้ามเชื่อๆ ห้ามเชื่อนะ กาลามสูตร ไม่ให้เชื่อ เวลาถ้าเรามีศรัทธาความเชื่อล่ะ

ศรัทธาความเชื่อเราต้องพิสูจน์ เวลาเราพิสูจน์ เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาแล้วมันเป็นความจริงขึ้นมาในหัวใจเราหรือไม่ ถ้าเป็นความจริง แม้แต่เป็นความจริงขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ แม้แต่ความจริง มันจะเริ่มต้นจากความจริงตั้งแต่อย่างหยาบๆ อย่างละเอียดเข้าไป อย่างกลาง อย่างละเอียด มันจะเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป การกระทำของคน ประสบการณ์ของคน มันจะมีประสบการณ์แตกต่างกัน ฉะนั้น เอาความจริงอันนั้นน่ะ เอาความจริงที่เราทำความเป็นจริงขึ้นมา เอาความจริงอันนั้น

ฉะนั้น กาลามสูตร ไม่ให้เชื่อใช่ไหม แต่ถ้าเรามีศรัทธาความเชื่อ ศรัทธาความเชื่อ เชื่อแล้วต้องพิสูจน์ไง เชื่อแล้วต้องมีการกระทำไง

มันมีเวลาคนเขามาหาเรา เวลาเขาฟังเสร็จแล้ว “หลวงพ่อ ผมไม่เชื่อหลวงพ่อบอก

เออจริง ถ้าเอ็งเชื่อกูนี่โง่ฉิบหายเลย

เพราะเขาไม่ให้เชื่อไง แต่ถ้าครูบาอาจารย์ท่านเป็นความจริงนะ ท่านมั่นใจถึงความเป็นจริงของท่าน ท่านพูดความจริงของท่าน ถ้าความจริงของท่าน ความจริงของท่าน แต่ไม่ใช่ความจริงของเราไง

นี่เหมือนกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาเทศนาว่าการ เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสุดยอด ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นความจริง แต่พอเวลาแสดงธรรมมาเป็นธรรมและวินัยเป็นทฤษฎี พอเราไปศึกษา มันเป็นเรื่องศรัทธา ศรัทธาเรารู้ได้เราเข้าใจได้ มันก็ปลอดโปร่ง มันก็ดีมากเลย แต่ความจริงของเรายังไม่เกิด ถ้าความจริงของเราเกิด เราเกิดความจริงของเรา ถ้าเป็นความจริงของเรา

เวลาพระสารีบุตร เวลาเทศนาว่าการเขาถามว่า “เชื่อพระพุทธเจ้าไหม” 

เขาบอก “เมื่อก่อนเชื่อ เดี๋ยวนี้ไม่เชื่อเลย” 

ถ้าเชื่อก็เป็นความเชื่ออยู่ข้างนอก ถ้าเป็นความจริง ความจริงเป็นในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง

ฉะนั้น พระไปฟ้ององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถึงเรียกพระสารีบุตรมาถามว่า “เป็นอย่างนั้นจริงหรือ

พระสารีบุตรบอก “พูดอย่างนั้นจริงๆ

แต่เดิมนะ เวลาฝึกหัดขึ้นมาเชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมารู้ตามความเป็นจริงแล้วไม่เชื่อ ไม่เชื่อเลย เพราะอะไร เพราะเชื่อความจริงในใจไง เชื่อความจริงในใจ กาลามสูตร ไม่ให้เชื่อใดๆ ทั้งสิ้น แต่เวลาเรามีศรัทธาความเชื่อต้องลองพิสูจน์ ถ้าพิสูจน์ขึ้นมาเป็นความจริงขึ้นมาแล้วให้เห็นอันนี้ ถ้าเป็นความจริงแล้วมันไม่ใช่เป็นความเชื่อ มันเป็นความจริง ถ้าเป็นความจริงก็เป็นความจริงอันนี้ไง ถ้าเป็นความจริงอันนี้มันจะเกิดขึ้น

ฉะนั้น สิ่งที่ว่า กาลามสูตร ไม่ให้เชื่อใดๆ ทั้งสิ้น ฉะนั้น สิ่งที่ว่า เวลาหลวงปู่ดูลย์ สิ่งนั้นเขาเอาเทศน์หลวงปู่ดูลย์มาอ่านออกในยูทูบ คำว่า “ของหลวงปู่ดูลย์” เราเชื่อหลวงปู่ดูลย์ว่าหลวงปู่ดูลย์ท่านทำได้จริง เพราะหลวงปู่ดูลย์ท่านสอนดูจิตแล้วท่านก็สอนพุทโธด้วย การดูจิตมันก็เป็นจริตนิสัยของคน แต่ท่านก็สอนพุทโธคำว่า “พุทโธ

ทีนี้เวลาเราบอกว่าเราไปดูจิตแล้วเราจะทิ้งจะขว้างไป มันไม่ถูก ฉะนั้น เวลาเราฟัง เราฟังแล้ว ฟังเทศน์ๆ ฟังเทศน์เพื่อสิ่งที่ไม่เคยได้ยินได้ฟัง สิ่งที่ได้ยินได้ฟังแล้วตอกย้ำ เวลาสิ่งที่มาแก้ความลังเลสงสัยของตัว มาแก้ความเห็นผิดของตัวถ้าเวลามันถูกต้องมันก็ชัดเจน ถ้าชัดเจน ฉะนั้น คำว่า “ชัดเจนอย่างนี้” เวลามันแก้ความเห็นผิดของตัว จิตมันผ่องใสไง จิตมันผ่องใส จิตมันเข้าใจไปหมดเลย ถ้าจิตมันเข้าใจไปหมด นี่การพิสูจน์

ฉะนั้น เวลาฟังแล้ว เราฟังสิ่งใด เราฟังธรรมๆ ฟังแล้วเราก็ต้องพิจารณา ทีนี้การพิจารณาแล้วมันก็เข้ากับของหลวงตาที่ว่าปัญญาอบรมสมาธิ ถ้ามันเป็นปัญญา เขาให้ใช้ปัญญา เวลาเราศึกษาใคร่ครวญให้ใช้ปัญญา ไม่ใช่ไปเพ่งไปดูกันอย่างนั้น มันไม่ใช่ ถ้ามันไม่ใช่นะ

หลวงปู่ดูลย์ท่านพูดของท่าน คำว่า “ดู รู้ของท่าน” ความหมายของท่านคือให้พิจารณา

คิดเท่าไรก็ไม่รู้ ต้องหยุดคิด แต่ความหยุดคิดก็ต้องใช้ความคิด

แต่ไอ้คนไม่รู้เรื่องมันบอกเชื่อมาโดยความเชื่อเฉยๆ ให้ดูเฉยๆ ให้ดูเฉยๆแล้วมันจะเป็นจริง อย่างที่เขาบอกว่า ผมไม่ได้คาดหมายเลยว่าผมจะได้อะไร พอมันดูแล้วมันบอกมันลัดมันสั้น มันสะดวกมันสบายขึ้นมาแล้ว เสร็จแล้วก็บอกว่าต้องได้มรรคได้ผล

มันจะเอามรรคเอาผลมาจากไหนล่ะ เพราะมันไม่มีความจริง ถ้ามันไม่มีความจริง เห็นไหม นี่พูดถึงว่า ที่ว่ากาลามสูตร ไม่ให้เชื่อ ถ้ามันเชื่อ มันก็เชื่อความจริงของเรา ฉะนั้น ความจริงของเรา เวลาเขาพูด เวลาเขาถามเขาบอกว่า “ผมนี่แย่จริงๆ ที่หาความรู้จากภายนอก เอาแต่ความเข้าใจนั้น แล้วจะเอามาประพฤติปฏิบัติแบบมั่วๆ

แบบมั่วๆ มั่วๆ ก็เป็นอย่างนั้นแหละ ทีนี้ถ้าเอาความจริง ต้องพุทโธไว้ ถ้าพุทโธแล้ว จิตมันเกาะของมันไว้ ถ้าจิตมันเกาะไว้ การทำความสงบ ๔๐ วิธีการปัญญาอบรมสมาธิก็คือการทำความสงบ คนถ้ามีสติปัญญานะ ถ้าเป็นพุทธวิสัยถ้ามีสติปัญญา พุทโธแล้วไม่ค่อยลง ใช้ปัญญาซะ แต่ปัญญาอย่างนี้มันต้องรู้ตั้งแต่ต้นว่ามันเป็นปัญญาอบรมสมาธิ ปัญญาอบรมสมาธิไม่ใช่วิปัสสนาปัญญาวิปัสสนาปัญญามันจะเกิดอยู่ข้างหน้า ถ้ามันเป็นความจริงของมันไป ถ้าความจริงของมันไป มันจะเป็นประโยชน์อย่างนี้

ฉะนั้น เขาบอกว่า เวลาเขาฟังเทศน์ของเรา ฟังเทศน์เรื่อง “หมาเฝ้าบ้าน” พอฟังหลวงพ่อบอกว่า คนที่ทำสงครามกับคนที่ฟังเรื่องเกี่ยวกับสงคราม ผมนี่สะดุ้งเลย

นี่มันเปรียบเทียบแล้วมันชัดเจนไง มันชัดเจนว่า คนที่ออกสงคราม ทหารที่ไม่เคยออกสงครามไม่ใช่ทหารผ่านศึก ทหารคนไหนที่เขาได้ออกสงครามแล้วเขาจะได้เป็นทหารผ่านศึก ทหารผ่านศึกมันได้รบมาจริง มันได้เห็นมาจริงไง ถ้ามันเห็นมาจริง ถ้ามันรบแล้วแพ้ชนะนั่นอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าเป็นจริงขึ้นมามันก็เป็นจริงขึ้นมา

ฉะนั้น เวลาเขาเข้าใจอย่างนั้น เพราะเวลาปฏิบัติแล้วทุกคนต้องการความสะดวก ปฏิบัติแล้วอยากได้ผล ฉะนั้น เวลาปฏิบัติแล้ว เราปฏิบัติแล้ว ลงทุนลงแรงแล้ว มันจะหาทางออก เขาถึงบอกว่า พอฟังเทศน์แล้ว เวลาเลิกงานแล้วเขาถึงได้ฉุกคิดได้ ถึงได้มาพุทโธชัดๆ พุทโธชัดๆ พอพุทโธชัดๆ พอจิตมันสงบ มันสงบขึ้นเพราะอะไร เพราะมันมีการกระทำ

ถ้าจิตมันมีการกระทำ เวลามันสงบขึ้นมา มันสงบตามความเป็นจริง เขาเรียกว่าสัมมาสมาธิ ถ้ามันสงบแบบว่ามั่วๆ นั่นมันเป็นมิจฉา แล้วพอเป็นมิจฉา คำว่า “มั่วๆ” มันไม่มีหลักเกณฑ์ใช่ไหม พอไม่มีหลักเกณฑ์ พอมันเสื่อม คนเราไม่มีจุดยืน ไม่มีหลักเกณฑ์นะ ทำงานใดมันผิดพลาดตลอด แล้วผิดพลาดแล้วจะฟื้นกลับมาเอาความชัดเจน มันไม่ได้

แต่ถ้าเราพุทโธ เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิ เราทำของเราด้วยความชัดเจน ถ้าเป็นสมาธิก็เป็นสมาธิที่ชัดเจน แล้วถ้ามันเสื่อมขึ้นมา เสื่อมก็มีหลักการ หลักการเราจะทำอย่างนี้ มันกลับมาฟื้นฟูได้ เวลามันเสื่อมแล้ว คนเรามีหลักการ มันทำสิ่งใดมันทำได้ ถ้าพุทโธหรือใช้ปัญญาอบรมสมาธิ มันมีหลักการ มันมีการกระทำ

คนทำงานมันมีหลักการของมัน ถ้ามันผิดพลาดไป มันก็หลักการยังอยู่ ถ้าผิดพลาดไปหรือไม่ได้ผล มันก็กลับมาที่หลักการอันนี้ แต่ถ้ามันไม่มีหลักการเลยมั่ว ทำมั่วๆ ปล่อยมันลอยลมไปเรื่อย แล้วมันจะได้อะไรล่ะ

ทีนี้พอฉุกคิด พอเขาบอกว่าเขากลับมา กลับมาพุทโธชัดๆ คราวนี้มันสงบแล้วมันสงบดีขึ้น เวลาสงบแล้ว สงบจนนึกพุทโธไม่ได้ นึกไม่ออกเลย

ถ้ามันสงบของมันได้อย่างนี้มันเป็นประโยชน์ มันเป็นประโยชน์ที่เราทำจริงนี่ถ้ามีหลักการ ฉะนั้น กรรมฐาน ๔๐ ห้อง การทำความสงบของเรา เราต้องมีจุดยืน เราต้องมีหลักการของเรา มันจะผิดมันจะถูก มันจะเสื่อมหรือมันจะเจริญหลักการนี่เราทิ้งไม่ได้เลย ทิ้งไม่ได้เลย ถ้าทิ้งไม่ได้เลยนะ มันทำให้เราไม่เสียหายทำให้เราไม่เร่ร่อน แล้วทำให้เรามีจุดยืน

คนเรามันต้องมีจุดยืนของตนเอง ถ้าจุดยืนของตนเอง เราจะทำอะไรก็ได้ไม่ใช่ว่าต้องพุทโธอย่างเดียวนะ อานาปานสติก็ได้ ปัญญาอบรมสมาธิก็ได้ มรณานุสติก็ได้ อะไรก็ได้ กรรมฐาน ๔๐ ห้องอะไรก็ได้ แต่ต้องทำ ไม่ใช่ปล่อยเฉยๆเร่ร่อนไปเฉยๆ

ถ้าเร่ร่อนไปเฉยๆ แล้วพอเร่ร่อนไปเฉยๆ มันไม่มีจุดยืนใช่ไหม แล้วเวลาเร่ร่อนไปเฉยๆ แล้วก็จะเอามรรคเอาผลกัน แล้วพอเอามรรคเอาผลกันก็เอามรรคเอาผลนั้นน่ะมาบอกว่าทำอย่างนี้แล้วจะได้ผลอย่างนั้น ทำอย่างนั้นจะได้ผลอย่างนั้น แล้วพอทำไปแล้วมันก็เหมือนกับการศึกษา จบมาแล้วก็ได้ประกาศนียบัตรคนละใบ แต่ถ้าไปทำอาชีพประสบความสำเร็จหรือไม่ประสบความสำเร็จอีกอย่างหนึ่ง

ไอ้นี่ก็เหมือนกัน เวลาบอกว่าดูจิตๆ จิตมันสงบแล้วจะให้มรรคให้ผลกัน มันก็เหมือนได้ประกาศมาใบหนึ่ง ประกาศเป็นใบประกาศ ไม่ใช่เรา นี่ก็เหมือนกัน จะได้มรรคได้ผลต้องให้คนนู้นบอกว่าเราได้ คนนี้บอกว่าเราได้ แล้วพอได้มาแล้วเขาบอกว่าเราได้ แต่เราได้จริงหรือเปล่าล่ะ ถ้าเราได้ไม่จริง เราก็สงสัย พอเราสงสัยขึ้นมาแล้ว ถึงเวลามันเสื่อมขึ้นไปแล้ว ถึงเวลาที่เราไม่แน่ใจแล้วก็โลเลแล้วก็เลยเป็นสังคมอย่างนี้ ถ้าสังคมอย่างนี้

กาลามสูตร เขาถึงไม่ให้เชื่อไง ถ้าไม่ให้เชื่อ มันจะพิสูจน์กันตรงนี้ ตรงที่เชื่อแล้วมีอะไรเป็นการค้ำประกัน เชื่อแล้วมีอะไรเป็นผลตอบแทน เชื่อแล้วมีอะไรเป็นหลักการ ถ้าเชื่อแล้ว ถ้าไม่ให้เชื่อๆ ไม่ให้เชื่อเพราะเรายังไม่มี แต่ถ้าเราปฏิบัติขึ้นมา มันมีจริงขึ้นมา นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เชื่อตรงนี้ ให้เชื่อประสบการณ์ ให้เชื่อการทำจริงของเรา ถ้าทำจริงของเรา มันจะเป็นประโยชน์กับเรา

ฉะนั้น สิ่งที่เขาบอกว่า เวลาเขากลับมาแล้วเขาสงบดีขึ้น สงบดีขึ้นนะ จนพุทโธไม่ได้ แต่เราก็พุทโธแล้ว สุดท้ายแล้วเขาจะทำ มันมีความสุขมาก แล้วจะทำต่อไป มันเกิดเป็นก้อนๆ อะไรขึ้นมาอีกแล้ว คราวนี้พอมันสงบ เราก็พยายามจะหาของมัน

นี่เวลาปฏิบัติไปมันจะมีอุปสรรคอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ฉะนั้น การว่ามีอุปสรรคไปเรื่อยๆ เวลาคนที่ปฏิบัติเขาต้องมีศีล มีสมาธิ มีปัญญา เขาต้องมีข้อวัตรปฏิบัติเขาเรียกว่ารักษาดูแล

เวลาเขาว่าดูแลรักษาหัวใจๆ ดูแลรักษาด้วยข้อวัตร ดูแลรักษาด้วยสติไง สติเวลาจะคิด มันคิดฟุ้งซ่านออกไป จะคิดมาก สติยับยั้งไว้ เรื่องที่จะคิดไม่ควรคิดเพราะเราเคยคิดมาหลายภพหลายชาติแล้ว เรื่องใดที่มันจะกระทุ้งให้หัวใจมันฟูขึ้นมาสิ่งใด เราพยายามหลีกเลี่ยงมัน คำว่า “มีสติปัญญาดูแลรักษาหัวใจ” เขาดูแลรักษาหัวใจอย่างนี้

ฉะนั้น เวลากรรมฐาน หลวงตาท่านสอนไว้ บอก วัว เราจะเลี้ยงวัว ถ้าผูกไว้เราจะใช้งานมัน เราก็ไปแกะเชือกมาใช้งานได้เลย วัวเวลาเราเลี้ยง เราเลี้ยงปล่อย เวลาเราจะใช้งาน เราต้องวิ่งไปหามัน เพราะเราเลี้ยงปล่อยมันก็ไปตามประสามัน

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าดูแลหัวใจก็เหมือนวัวผูกไว้ ก็ผูกหัวใจไว้ เราผูกหัวใจไว้ แต่พอผูกหัวใจไว้ ทุกคนอึดอัดขัดข้องไปหมด ไอ้นี่คือคนที่ไม่ปฏิบัติ เวลาคนที่เขาปฏิบัติ ดูสิ พระเรามีข้อวัตร ถึงเวลาจะรวมกันไปทำพร้อมกันๆ เพราะมันเป็นส่วนรวม

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราดูแลหัวใจของเรา เวลาจะมาปฏิบัติมันก็ปฏิบัติได้ง่ายขึ้น ฉะนั้น เวลาปฏิบัติไปมันจะมีอุปสรรค ที่ว่าคำว่า “อุปสรรค” ถ้าคำว่าอุปสรรค” ถ้าเราดูแลอย่างนี้ปั๊บมันจะทำได้ ฉะนั้น เวลามีอุปสรรค เวลาพุทโธจนพุทโธหายเลย เขาบอกพุทโธจนหายเลยนะ รู้อารมณ์โดยความเป็นจริง แล้วเวลาลมหายใจมันคลายตัวออกมาก็รู้โดยความเป็นจริง รู้แล้วก็พุทโธชัดๆ อยากจะให้มันเหมือนเดิม คืออยากจะให้มันสงบอีก

นี่โดยข้อเท็จจริงต้องทำอย่างนี้ถูกต้อง เวลามันพุทโธใช่ไหม พุทโธๆๆ จนละเอียด เวลามันคลายตัวออกมา เราฝึกหัดใช้ปัญญาก็ได้ แต่เราไม่ฝึกหัดใช้ปัญญา เราอยากสงบมากขึ้น เราก็กำหนดพุทโธต่อเนื่อง เพราะว่าถ้ามันคลายตัวออกมาแล้ว ถ้าเราไม่พุทโธมันก็คิดเรื่องอื่น พอมันคิดได้ พอมันรู้สึกได้ คิดได้ มันคลายตัวออกมา เราก็กำหนดพุทโธทันทีเพื่อมีคำบริกรรมต่อเนื่องไป ให้มันเกาะพุทโธไว้ ถ้าพุทโธไว้โดยสติปัญญา มันก็จะสงบเข้าไปเหมือนเดิม

แต่ถ้ามันพุทโธไม่ได้ พอมันพุทโธไม่ได้ เพราะกิเลสมันจะต่อต้าน มันก็สร้างอย่างที่โยมเป็นนี่ เวลาสร้างปั๊บ มันเกิดอาการ มันเกิดเป็นอาการเหมือนมีกลุ่มก้อนสิ่งใดทับถมตัวเราลงมาเลย มันทับถม เห็นไหม

ถ้าจิตมันสงบแล้วมันคลายตัวออกมา บางทีก็เห็นนิมิต พอมันเห็นเป็นกลุ่มควัน เป็นก้อนหนักๆ ทับตัวเรามาเลย นั่นมันคืออะไร นั่นมันคืออะไร

มันก็เป็นอาการ ดูความคิด ความคิดคืออะไร ความคิดเกิดมาจากไหน พอจิตสงบ มันปล่อยความคิดไปแล้ว ทีนี้พอจิตมันคลายตัวออกมาปั๊บ เวลามันจะคิดถ้าเราคิดพุทโธก็คิดพุทโธได้ใช่ไหม แต่เวลาถ้ามันไม่คิดพุทโธ ถ้ากิเลสมันจะต่อต้าน กิเลสมันจะพลิกแพลงของมันนะ มันก็เป็นอาการ คือความรู้สึก ความรู้สึกว่าเป็นก้อนอย่างนั้น เป็นอย่างนั้น แล้วมันทับตัวเรามา แต่ทับตัวมาแล้วมันก็หายไปพอมันหายไป มันก็ให้เราสงสัยต่อไง ถ้ามันสงสัยต่อ เวลามันทำ อาการของกิเลสมันเป็นแบบนี้ อาการหรือว่าเล่ห์กลของกิเลสมันก็ใช้ความคิดเรา

ดูสิ เวลาหลวงตาท่านเทศน์บอกว่า ขันธมาร รูป เวทนา สัญญา สังขารวิญญาณเป็นมาร มันไปกว้านเอาแต่ความทุกข์ยากมาให้เราทั้งนั้นน่ะ ถ้าเวลาเราพิจารณา เราจิตสงบแล้วเราพิจารณาของเราจนขันธ์มันสะอาด จนขันธ์มันสะอาดขันธ์ถ้ามันสะอาด ขันธ์มันปล่อยวางเพราะอะไร เพราะมันชำระกิเลส มันขาดไปขันธ์มันก็สะอาด เห็นไหม

เวลาธรรมะ เวลามันออก ถ้าจิตสงบแล้ว จิตสงบแล้วมันปล่อยวางจิตชั่วคราว เวลาจะใช้ปัญญามันก็ใช้ขันธ์นี่ ขันธ์มันเป็นสมบัติกลาง ขันธ์คือความรู้สึกของคนเป็นสมบัติกลาง แต่ถ้ากิเลสมันใช้ กิเลสมันใช้ด้วยความโลภ ความโกรธ ความหลง มันจะเอาแต่ความทุกข์ความยากมาให้เรา พอจิตมันสงบแล้วมันสะอาดบริสุทธิ์ชั่วคราว เราเริ่มฝึกหัดใช้ปัญญา ปัญญามันเกิดขึ้น เกิดขึ้นจากศีลสมาธิ ปัญญา เวลามันเกิดขึ้นมันเป็นธรรม เวลาธรรมะ ปัญญาเกิด ปัญญาที่โลกุตตรธรรม ปัญญาเกิดจากการภาวนา

ถ้ามันเป็นธรรมะหยาบๆ มันก็ใช้ขันธ์นี่แหละ แต่ขันธ์ที่มันเป็นสมาธิแล้วขันธ์มันก็สะอาดบริสุทธิ์ชั่วคราว มันก็ใช้ขันธ์นี่แหละ ก็ใช้ความคิดนี่แหละ แต่ความคิดที่มีสติ มีสมาธิ เราคิดอะไรมันก็เป็นประโยชน์กับเรา เพราะมันเป็นมรรคมันเป็นปัญญา ปัญญาอันนี้เกิดจากสัมมาสมาธิรองรับ

พอสมาธิมันเสื่อมลง สมาธิมันอ่อนด้อยลง กิเลสมันก็ฟูขึ้นมา กิเลสฟู มันก็ใช้ความคิดนี่ ความคิดมันก็สร้างให้เห็นนิมิต รู้เรื่องต่างๆ ก็ใช้ขันธ์นี่ นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันเป็นอาการ เป็นกลุ่มควันที่มันมา เวลาความสงบมันคลายตัวออกมามันก็เป็นกลุ่มควันเป็นอะไร มันก็อาศัยขันธ์นี่แหละ แต่ขันธ์ก็คือความรู้สึกนึกคิดนี่แหละ ความรู้สึกนึกคิดถ้ามันเป็นสัมมาสมาธิ ถ้ามีสมาธิรองรับมันก็เป็นธรรม ถ้าสมาธิมันอ่อนแอลง สมาธิมันเบาลง มันก็เป็นกิเลส ที่ว่าเป็นสัญญาๆ ไง นี้มันเป็นขันธ์

ฉะนั้น เวลาพอมีสติเท่าทันปั๊บ ไอ้ก้อนที่เป็นก้อนหนักๆ ก็หายไป อาการที่เกิดขึ้นกับผมนี่คืออะไรครับ

เอออาการที่เกิดขึ้น อาการที่เกิดขึ้นมันก็เป็นอดีตไปแล้ว เวลาอาการที่เกิดขึ้นเขาเรียกปัจจุบัน เวลาที่มันเกิดขึ้นกับเรา เวลาพอฟังเขาบอกว่า ไปฟังเรื่องหมาเฝ้าบ้าน” แล้วผมสะดุ้งเลย ฉะนั้น พอมีเวลาปั๊บ ผมก็รีบภาวนาเลย

พอภาวนาขึ้นมา มันภาวนาปั๊บ พอจิตมันสงบ พอพุทโธชัดๆ เพราะอะไรเพราะมันสดๆ ร้อนๆ ไง เวลามันสดๆ ร้อนๆ นะ มันกระเทือนหัวใจ พอกระเทือนหัวใจ เราตั้งใจของเรา มันก็สงบต่อหน้า เราว่าเป็นอำนาจวาสนานะ มันสงบต่อหน้า มันเป็นการยืนยันต่อหน้าว่าเราใช้พุทธานุสติ เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิตามความเป็นจริง มันจะได้ผลจริงๆ อย่างนี้

แล้วถ้าเราขาดสติ เราทำด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เราทำโดยไม่ได้อาศัยธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเรื่องกาลามสูตร เราเชื่อของเราไป เราขวนขวายของเราไป มันจะพาเราออกนอกลู่นอกทางแล้วไปอีลุ่ยฉุยแฉกเลย แล้วเวลาจะกลับขึ้นมาจะกลับมาอย่างไร ถ้าไม่มีสติปัญญานะ มันไม่กลับมาแล้ว เพราะมันบอกว่า กลับไปทำไม กลับไปให้ทุกข์ให้ยาก ฉันมาทางนี้แล้วฉันมีแต่ความสุข ฉันมีแต่ความรื่นเริง ฉันจะกลับไปทำไม

แต่ถ้ามันยังมีอำนาจวาสนาอยู่ มันมีอำนาจวาสนา เวลากลับมาแล้วได้ผลเลย ได้ผล หมายความว่า พอจิตสงบแล้วสงบจนลมหายใจขาด ลมหายใจไม่มีเลย แต่มันก็เป็นประโยชน์ สมาธิเป็นสมาธิ แต่พอเป็นสมาธิแล้วฝึกหัดใช้ปัญญา

นี่พูดถึงเป็นสมาธิแล้วคลายตัวออกมา เกิดเป็นกลุ่มควัน เกิดเป็นอะไร มันเป็นอาการของใจทั้งนั้น เป็นอาการของใจเพราะอะไร เพราะเวลาเราปฏิบัติ จิตสงบแล้วเป็นความดี เป็นความดี เป็นคุณธรรมของเรา เวลามันคลายตัวออกมากิเลสมันต่อต้านทันที ต่อต้านทันที มันก็ยังมีอำนาจวาสนาว่าพอมันเป็นกลุ่มก้อนดำๆ กลุ่มก้อนเป็นก้อนที่ทับตัวเรา แต่มันก็หายไปโดยสติปัญญาของเราก็จบเพียงแต่ว่ามันหายไป แต่เราไม่รู้ว่ามันคืออะไร มันหายไปก็คืออาการทั้งนั้นอาการที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป แต่หลักการของเรายังอยู่ หลักการของเรายังอยู่เราก็ทำของเราต่อเนื่องไป

ฉะนั้น เขาบอกว่า “ผมไม่สนใจการบรรลุธรรมขั้นใดทั้งสิ้น ขอแค่ให้มีชีวิตประจำวันที่ไม่ทุกข์ไม่ร้อนกับสิ่งรอบๆ ตัวนั้น แค่นี้ผมก็พอแล้ว

ถ้าพอแล้วนะ ทำต่อเนื่องไปแค่นี้ก็พอแล้ว ปฏิบัติอย่างนี้ปฏิบัติเพื่อบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาเราปฏิบัติ ปฏิบัติมาเพื่อบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แต่จริงๆ แล้ว ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต เราก็บูชาหัวใจของเรานี่ เพราะหัวใจเราเป็นพุทธะ

ถ้าบอกว่า เราไม่สนใจว่าเราจะบรรลุธรรมขั้นไหน นี่ถูกต้องมากเลย เพราะจริงๆ จิตใต้สำนึกทุกคนมีเป้าหมายทั้งนั้น ต้องสิ้นกิเลส แต่ถ้าสิ้นกิเลสนะ เราอยากสิ้นกิเลส ทีนี้พอเราคุยธรรมะกัน ถ้าเราไม่มีจุดยืน เราไปสังคมใด ไปหาอาจารย์องค์นี้ ภาวนาแล้ว  วันจะได้โสดาบัน ๑๒ วันจะได้สกิทาคามี เขาก็ว่ากันไป แล้วก็ไปทำแล้วมันก็ได้จริงๆ ได้ที่ไหน ได้ที่อาจารย์เขายกให้ แล้วบอกว่าหนูไม่รู้เรื่องเลย หนูได้

นั่นเพราะเอ็งไม่รู้ถึงได้ ถ้าเอ็งรู้ เอ็งอยาก เอ็งไม่ได้...แล้วที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยได้ธรรมะนี่มันก็แปลกเนาะ กาลามสูตรไง สังคมที่เขาเชื่อถือกัน เขาเชื่อถืออย่างนั้น

แล้วเวลาคน มันเหมือนกับทางโลก ทางโลก ดูสิ ดูที่เขามีการลงทุนกัน ที่เขาหลอกลวงกันในคอมพิวเตอร์น่ะ ลงทุนแล้วจะได้ผลมากๆ ได้ผลมากๆ อู้ฮูตื่นเต้นกันไปหมดเลย...มันจะเป็นความจริงได้อย่างไร

ไอ้นี่ก็เหมือนกัน เราบอกว่าจะบรรลุธรรมขั้นนั้น ปฏิบัติแล้วจะลัดจะสั้น จะรู้ได้ง่ายๆ

เอาสั้นเอาง่ายมาจากไหน หลวงปู่ดูลย์ท่านปฏิบัติมากี่ปีท่านถึงจะได้ หลวงปู่ดูลย์ท่านไม่ได้บอกว่าสั้นหรือลัดใดๆ ทั้งสิ้น แต่ท่านพูดถึงความจริงของท่าน ท่านพูดถึงข้อเท็จจริง ท่านพูดถึงประสบการณ์ของจิตของท่าน ท่านพูดเพราะท่านถนัดของท่านอย่างนั้น ท่านก็พูดของท่านอย่างนั้น เพราะท่านสร้างอำนาจวาสนาบารมีมาอย่างนั้น ท่านถึงบอกว่าท่านปฏิบัติของท่าน แต่ท่านไม่ได้บอกว่าจะได้ง่ายๆท่านไม่เคยบอกว่าอย่างนั้น ถ้าได้ง่ายๆ ท่านทำมากี่ปี

แต่ทีนี้พอบอกว่า ถ้าลัดถ้าสั้นแล้ว มันลัดสั้นแล้วมันต้องมีผลตอบแทน พอมีผลตอบแทนก็นี่ไง บรรลุธรรมขั้นนั้นๆ ขั้นนั้นจะได้ง่ายอย่างนั้น แล้วบรรลุธรรมจริงๆ เวลาไปถามบอกว่าไม่ได้ให้ ไม่ได้บอกอะไรทั้งสิ้น

อย่างนั้นที่พูดกันมานั่นก็โกหกทั้งนั้นน่ะ ที่เคยให้ๆ กันมา ที่เคยยืนยันกันว่าปฏิบัติลัดสั้นแล้วจะได้ผล ที่พูดนั้นก็คือเป็นการโกหกหมด เป็นการโกหกทั้งสิ้นมนุษย์คนใดก็แล้วแต่ ถ้ายังโกหกอยู่ จะทำความผิดอย่างอื่นอีกที่ทำไม่ได้ ไม่มีเลย ทำได้ทั้งนั้นน่ะ ถ้าลองโกหก ทำได้ทั้งนั้นน่ะ

ฉะนั้น ที่บอกว่า เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโกมันจะรู้จริง มันปฏิบัติได้จริงตามความเป็นจริงแล้ว ธรรมะมันจะกังวานกลางหัวใจของเราจริงๆ ฉะนั้น ถ้าเป็นจริงขึ้นมา ธรรมะจัดสรร มันเป็นจริงด้วยคุณธรรม มันเป็นจริงด้วยสัจธรรม เราพิจารณาไป พิจารณากาย พิจารณาเวทนา พิจารณาจิตพิจารณาธรรม พิจารณาซ้ำๆ ซากๆ เวลามันพิจารณาไปแล้วมันปล่อยวางของมันเวลามันขาด

ปล่อยวาง มันก็รู้ว่าปล่อยวาง พอปล่อยวาง ถ้ามันยังไม่เข้าใจ มันก็ยังหลงไป มันก็ยังเสื่อม ถ้าเสื่อมแล้วก็พัฒนาขึ้นมาถึงที่สุด ปล่อยวางแล้วปล่อยวางเล่าพิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถึงเวลามันสมุจเฉทปหาน

ตทังคปหานมันชั่วคราวๆ เวลามันสมุจเฉทปหานมีครั้งเดียวเท่านั้นน่ะ เพราะคนเราฆ่าคนตาย ตายได้หนเดียว ไม่มีตายสองหนสามหนหรอก เวลากิเลสตายก็หนเดียว เวลาขั้นโสดาบัน กิเลสมันตายไปแล้วได้โสดาบัน สกิทาคามี เวลากิเลสมันตายได้สกิทาคามี อนาคามี เวลากิเลสตายได้อนาคามี อรหัตตมรรค อรหัตตผล เวลาภพชาติมันทำลายแล้วเป็นพระอรหันต์ มันเป็นชั้นเป็นตอนของมัน แล้วมันเป็นที่ไหน มันเป็นที่การกระทำ เป็นที่ความจำอันนั้น

ฉะนั้น เขาบอกว่า “ผมไม่สนใจในการบรรลุธรรมชั้นไหนเลย ขอให้ชีวิตประจำวันไม่มีความทุกข์ความร้อนจนเกินไปเท่านั้น

ถูกต้อง เราทำเพื่อปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมะจัดสรรถ้าเราปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมตามความเป็นจริงขึ้นมา มันประกาศกลางหัวใจเลย มันจะประกาศขึ้นมากลางหัวใจเลย เป็นจริงอย่างนั้นเลย เป็นอกุปปธรรมเลยแล้วคงที่ตายตัวตลอดไปเลย แล้วจะมีความกตัญญูกตเวที จะมีคุณธรรมในหัวใจจะสุดยอด ถ้าเป็นความจริงนะ

แต่ถ้ามันไม่เป็นความจริง ใหม่ๆ มันไปรู้ไปเห็นอะไรเข้า มันก็ยังสดๆ ร้อนๆมันก็รักษาได้ พอเดี๋ยวมันเสื่อมนะ นี่ไง มันถึงมีปัญหา ในวงปฏิบัติมันเป็นแบบนี้

นี่พูดถึงว่า เป็นความเห็นของเรา เขาบอกเขาพูดถึงความเห็นของเขา แล้วก็คิดว่าถ้าเขายังเป็นมนุษย์อยู่ ใช่แต่ว่าจะหาแต่สมบัติภายนอก ในชีวิตจริงเขายังมีครอบครัวอยู่ ต้องดูแลอยู่

อันนี้มันเป็นชีวิตจริง ชีวิตจริงของเขา เห็นไหม ดูสิ ชีวิตจริงของพระ เวลาพระขึ้นมา เวลาบวชพระขึ้นมา พระต้องมีข้อวัตรปฏิบัติ ถ้าพระมีศีลมีธรรมขึ้นมาเวลาออกบิณฑบาต เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง เวลาเขาใส่บาตร เขาใส่บาตร เขาระลึกถึงใครล่ะ ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เขาระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัยนี้ไว้ บริษัท  ไง ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา

อุบาสก อุบาสิกา เขาก็อยากได้บุญกุศลของเขา ในการทำบุญของเขา เขาก็ทำบุญด้วยการตักบาตร ทำบุญด้วยการหาปัจจัย  เพื่อถวายพระ เพื่อจะไว้ใช้ในชีวิตประจำวัน นี่ไง ของเรา เราก็แสวงหา เป็นพระ พระก็แสวงหาปัจจัย  ของพระ โยมก็แสวงหาปัจจัย  ของโยม นี่เป็นเรื่องของโลก แต่เวลาเรื่องประพฤติปฏิบัติขึ้นมา มันอยู่ที่อำนาจวาสนาของใจ ใครจะทำได้มากได้น้อยแค่ไหน มันก็ทำได้มากได้น้อยแค่นั้น

เวลาพระทุกองค์เวลาบวชแล้ว ทุกคนอยากปรารถนาความดี แต่ว่าทำความดีได้หรือไม่ได้ ทำความดีไปถึงที่สุดหรือไปไม่ถึงที่สุด ถ้ามันไปถึงที่สุดได้มันก็เป็นประโยชน์อันนั้นไง ถ้ามันไปถึงที่สุดไม่ได้ก็ให้ภพชาติมันสั้นเข้า เราทำมาเพื่อให้ภพให้ชาติเราสั้นเข้านะ

ดูสิ เวลาคนเราเกิดมา ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด ทุกคนต้องตายไปข้างหน้า แม้แต่บวชเป็นพระ พระก็ต้องตาย ทีนี้เวลาตายชีวิตหนึ่ง ชีวิตหนึ่งถ้าเรายังหมกมุ่นอยู่กับทางโลก หมกมุ่นอยู่กับความสำเร็จทางชีวิต

ธรรม จริงๆ นะ เวลาคนเกิดมามันอยู่ที่อำนาจวาสนา บุญกุศลนะ บุญกุศลถ้าทำดีมันจะมีคนช่วยเหลือเจือจาน ทำสิ่งใดแล้วมันก็จะพอเลี้ยงชีพได้ แต่เวลาบางคนอัตคัดขาดแคลน พระก็เหมือนกัน ในสมัยพุทธกาลที่ว่าพระอรหันต์ที่ว่าไม่เคยฉันข้าวอิ่มเลย นั่นเขาทำของเขา เวลาพระสีวลีทำไมร่ำรวยมหาศาลขนาดนั้น

เวลาร่ำรวยมหาศาลขนาดนั้น พระสีวลีก็ไม่ได้เก็บไว้ใช้สอยด้วยองค์เดียวนะพระสีวลีเวลามีสิ่งใดมา ท่านก็เจือจานกับพระทั้งนั้นน่ะ คนที่มีความคิด นี่ชีวิตมันเป็นอย่างนี้ การแสวงหาปัจจัยเครื่องอาศัยทั้งฆราวาส ทั้งพระทั้งนั้นน่ะ แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติล่ะ

เวลาเราทำงานประสบความสำเร็จ เวลาประสบความสำเร็จ เรามีความสุขของเรา มันมีความมั่นคงในใจของเรา พระเวลาเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา มันก็เป็นปัจจัตตัง เป็นความจริงของพระองค์นั้น แล้วพระองค์นั้น ถ้ามีหลักความจริงขึ้นมาแล้ว ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ เวลาสนทนาธรรมกันไง

แล้วถ้ามีผู้ใดปฏิบัติแล้วถึงที่สุดแห่งทุกข์ไป อย่างเช่นหลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ทุกคนแสวงหา ทุกคนต้องการได้รับบุญกุศลจากท่าน เวลาพระอุปัฏฐากแย่งกันแข่งกันเพื่อจะอุปัฏฐากดูแลหลวงปู่มั่น

นี่เหมือนกัน เวลาเราบวชแล้ว เราคิดว่าเราบวชมาแล้วอยู่คนเดียว เวลาแก่เฒ่าขึ้นมาแล้วใครจะดูแล

เวลาแก่เฒ่าขึ้นมามันธรรมดาทั้งนั้นน่ะ ดูสิ เวลาทางโลกเขา เวลาเขาแก่เขาเฒ่าขึ้นมา แก่เฒ่าถ้ามีลูกหลานดูแลก็ดีนะ บางคนแก่เฒ่าขึ้นมาอยู่คนเดียว อยู่คนเดียว เขาก็ต้องใช้ชีวิตของเขาไป ไอ้นี่มันเป็นกรรมของสัตว์

นี่เหมือนกัน เวลาพระของเรา พระที่ทำคุณงามความดีที่มีกิตติศัพท์กิตติคุณทุกคนก็อยากปรารถนาดูแล แต่ถ้าพระที่เขาทำตัวสำมะเลเทเมานะ สำมะเลเทเมาของเขา เวลาทำของเขา ไม่มีใครเขาสนใจ แต่เวลาคนเขามองเข้ามา เขาไม่ได้มองว่าเขาสำมะเลเทเมา เขามองว่าเป็นพระ แล้วเป็นพระขึ้นมา ทำไมไม่มีใครดูแลล่ะ เป็นพระขึ้นมา ทำไมสังคมไม่เหลียวแลเขา ทำไมพระไม่ดูแลเขา

ดูแลเขา แต่เขาเป็นคนอย่างนั้น เขาเอาแต่ใจของเขา เขาไม่ยอมฟังใครทั้งสิ้น ไปดูแลเขา ยิ่งดูแลเขา ต่างคนต่างได้บาปได้กรรมใส่ตัวกันทั้งนั้นน่ะ ฉะนั้นเวลากรรมของสัตว์ เราไม่ได้มองที่จริตนิสัย ไม่ได้มองที่หัวใจความคิดของเขาแต่เราไปมองที่เพศไงว่าเขาเป็นพระ ทำไมไม่มีใครดูแลเขา แต่เวลาเป็นพระที่ดีอู๋ยทุกคนแสวงหา ทุกคนจะดูแล

แล้วพระที่ดีนี่มันก็แปลกนะ พระที่ดีไม่ต้องการอยากให้ใครเข้ามาใกล้ชิดเพราะพระที่ดีเขาอยากจะอยู่ด้วยสติปัญญาของเขา เพราะสติปัญญาตัวนั้นมันสุขมันสบายอยู่แล้วไง พระที่ดีเขากลับคล่องตัว เขากลับไม่เห็นเรื่องปัจจัยเครื่องอาศัยเป็นประเด็นเลย เขามองในศีล ในสมาธิ ในปัญญาของเขา คุณธรรมในใจของเขา เพราะในใจของเขามันปล่อยวาง ในใจของเขามีความสุขของเขา ไอ้นี่มันแค่เปลือก ไอ้แค่ส่วนประกอบ นี่ถ้าพระที่ดีมันก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง ถ้าพระที่เห็นแก่ตัวก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง ทีนี้สังคมมองเข้ามามองได้แต่ภาพภายนอก ไม่ได้มองในหัวใจไง ถ้ามองในหัวใจมันจะมีสติปัญญาของเขาขึ้นมา

นี่พูดถึงว่า กาลามสูตรไง มันเป็นประสบการณ์ กาลามสูตร เพราะว่าเขาบอกว่าเขาไปเชื่อเอง เขาไปเชื่ออย่างนั้นเอง แล้วเวลาถามเรามา เพราะกรณีอย่างนี้ถ้ามันเริ่มต้น เพราะว่าการดูจิตๆ

ถ้าการดูจิต การดูจิตด้วยการแสวงหา การรักษา มันก็เป็นเรื่องหนึ่ง เช่นหลวงปู่ดูลย์ท่านดูของท่านถูกต้องดีงาม แต่เวลาลูกศิษย์ลูกหาภายหลังมา ถ้าทำไม่ได้มันตีความผิด

ในสมัยหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ ท่านถูกต้องดีงามทั้งนั้นน่ะ แต่ลูกศิษย์หลวงปู่มั่น หลวงตาท่านพูดเอง เพราะมีคนศึกษาประวัติหลวงปู่มั่นแล้วก็ไปหาหลวงตา บอกว่า เขาเคารพบูชาลูกศิษย์หลวงปู่มั่นมาก

หลวงตาท่านก็เป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่น ท่านบอกเลยนะ บอกว่า “เราเชื่อว่าในบรรดาลูกศิษย์หลวงปู่มั่นมีทั้งถูกและผิด” ผู้ที่ทำถูกต้องดีงาม ผู้ที่เชื่อฟังหลวงปู่มั่นก็มี ผู้ที่อาศัยชื่อเสียงหลวงปู่มั่นเพื่อหาประโยชน์ก็มี

นี่ก็เหมือนกัน ในหลวงปู่ดูลย์ ครูบาอาจารย์ของทุกองค์ ทุกองค์ ครูบาอาจารย์ของเรา มันมีทั้งลูกศิษย์ลูกหาที่เชื่อฟัง ลูกศิษย์ลูกหาที่เคารพบูชาอาจารย์ของเขาก็มี แต่ในลูกศิษย์ลูกหาของหลวงปู่ดูลย์ที่มีความคิดแปลกแยก มีความคิดเห็นแก่ตัว ที่มีความคิดว่าตัวเองดีกว่าหลวงปู่ดูลย์ก็มี นี่ไง มันมีทั้งนั้นน่ะฉะนั้น กาลามสูตร อย่าเพิ่งเชื่อๆ

หลวงปู่ดูลย์ เราเชื่อ คำสอนเราก็เชื่อ แต่คนที่เอาไปตีความ คนที่เอามาขยายความ เราไม่เชื่อ เราไม่เชื่อ ถ้าเราเชื่อ เราเชื่อแต่คำสอนหลวงปู่ดูลย์ เราเชื่อ แต่คนที่มาขยายความ เห็นไหม กาลามสูตร อย่าเพิ่งเชื่อทั้งสิ้น

ฉะนั้น สิ่งที่เวลาถามมา เราถึงตอบไป ตอบครั้งที่แล้วเรื่อง “หมาเฝ้าบ้าน” คราวนี้เขาเขียนมาอีกเลย “อู้ฮูผมฟังหลวงพ่อแล้วผมสะดุ้งเลย

สะดุ้ง มันก็ได้ประโยชน์ไป เพราะอะไร เพราะโยมถามมา เราก็ไม่เคยเห็นหน้าโยม โยมเคยเห็นหน้าเราในเว็บไซต์ เราไม่เคยเห็นกัน เราไม่เคยเห็นกัน เราไม่เคยสัมผัสกัน แต่เราพูดธรรมะร่วมกัน ธรรมะเป็นสมบัติกลาง

คำว่า “ธรรมะเป็นสาธารณะ ธรรมะเป็นธรรมชาติ เป็นสาธารณะ” ธรรมะอย่างนี้เป็นสาธารณะ แต่ถ้าเป็นธรรมะในหัวใจ ธรรมะส่วนบุคคล ธรรมะนั้นธรรมเหนือโลก เหนือโลกเพราะอะไร เหนือโลกเพราะมันไม่เวียนว่ายตายเกิด

การเวียนว่ายตายเกิดนี้เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง ฉะนั้น ธรรมะเป็นธรรมชาติมันก็ธรรมะเรื่องโลก สื่อสารกันอย่างนี้ แต่ถ้าเป็นความจริงขึ้นมานะ มองตาก็รู้ใจแล้ว มองตากันก็จบ ฉะนั้น สิ่งนี้เป็นประโยชน์ไง

ฉะนั้น ถึงว่า กาลามสูตร อย่าเพิ่งเชื่อ อย่าเชื่อว่าเป็นอาจารย์ของเรา อย่าเชื่อว่าพระสงบพูด อย่าเชื่อ ฟังแล้วเอาไปวิเคราะห์วิจัย แล้วพยายามประพฤติปฏิบัติแยกแยะ จริงหรือเปล่า ถ้าจริงนะ เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก เป็นอันเดียวกัน ถ้าเป็นอันเดียวกัน นั่นน่ะ ถ้าอย่างนี้แล้วไม่ต้องเชื่อเลย หลวงตาท่านกราบหลวงปู่มั่นด้วยความศิโรราบ เวลาหลวงตาท่านบรรลุธรรมขึ้นมา ท่านกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กราบแล้วกราบอีก ถ้าเป็นความจริงแล้วไม่แตกต่างกันเลย มันไม่ใช่เชื่อหรือไม่เชื่อ เป็นอันเดียวกัน เอวัง